Review: Vertical Living ที่ให้ความยืดหยุ่นในการดัดแปลงแต่ละชั้น - thehaute.com

Review: Vertical Living ที่ให้ความยืดหยุ่นในการดัดแปลงแต่ละชั้น

Review: Vertical Living ที่ให้ความยืดหยุ่นในการดัดแปลงแต่ละชั้น

บทความรีวิวจาก The Seeker


เมื่อความยืดหยุ่น

มาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น

นี่คือโครงการหนึ่งที่สามารถปรับแต่งพื้นที่ใช้สอยได้ดังใจก็ว่าได้ครับกับ The Haute Kanchana-Sathorn ที่เป็นโครงการแบบ Vertical Living ภายใต้คอนเซปต์ Vertical Biz Villa ตอบโจทย์ชีวิตแบบ Next Normal ให้ความเป็นส่วนตัวเพียง 10 ยูนิต มีทั้งหมด 5 ชั้น จอดรถได้สูงสุด 6 คัน (มี EV Charger) และมีพื้นที่ใช้สอย 556 ตร.ม. ทำให้มีความ Flexible ในการแบ่งสัดส่วนหรือชั้นต่างๆ ตามการใช้งานได้มากขึ้น ไม่ว่าจะทำเป็น Lobby รับแขกชั้นล่าง, Office Working Space ชั้น 2 – 3 หรือจะเป็นที่พักอาศัยในส่วนของ Residence ชั้น 4 – 5

นอกจากนี้สถาปัตยกรรมยังโดดเด่นด้วยระแนงอลูมิเนียมที่สามารถเปิดเพื่อรับแสงธรรมชาติหรือปิดเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กันและกัน รวมถึงพื้นที่สีเขียวภายในบ้านที่ทางโครงการได้ให้ระเบียงพร้อมต้นล่ำซำและเฟิร์นไมอามีมาถึง 3 จุด

ในส่วนทำเลก็เรียกว่าสะดวกสบายได้เลยล่ะครับ เพราะอยู่ใกล้ใจกลาง CBD อย่างสาทรเพียง 15 นาที ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินสถานีหลักสอง 3 กม. และรายล้อมไปด้วย Shopping Plaza และ Community Mall อย่างครบครัน

The Haute Kanchana-Sathorn เมื่อความยืดหยุ่นมาผสมผสานกับสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ในราคาเริ่มต้น 38 ล้านบาท* เปิดจองครั้งแรก 23 – 24 ก.ค. 2565 พร้อมรับส่วนลดในงานสูงสุด 1 ล้านบาท* จองเพียง 3 แสนบาทสำหรับบ้านสั่งสร้าง และจองเพียง 5 แสนบาทสำหรับบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ สามารถผ่อนชำระเงินจองผ่านบัตรเครดิต 0% นาน 6 เดือน พิเศษสำหรับบ้านสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ รับการยกเว้นเงินทำสัญญามูลค่าสูงสุดกว่า 4 ล้านบาท*
ก่อนที่เราจะไปรีวิวในแต่ละชั้นเรามาดูหนึ่งในไฮไลท์ของ The Haute Kanchana-Sathorn กันดีกว่าครับ นั่นคือการรักษาความเป็นส่วนตัว อย่างเช่นระเบียงในภาพนี้จะเป็นระเบียงทึบคล้ายกับกระบะต้นไม้ Pocket Garden คนภายนอกหรือบ้านตรงข้ามมองเข้ามาจะไม่เห็นอิริยาบถคนภายในบ้าน ส่วนระแนงก็สามารถปิดได้เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว
อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ทางโครงการเน้นคือพื้นที่สีเขียวภายในบ้าน ซึ่ง The Haute Kanchana-Sathorn ได้ให้ต้นไม้มาถึง 3 จุดด้วยกัน
อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า The Haute Kanchana-Sathorn เป็นโครงการ Vertical Living ภายใต้คอนเซปต์ Vertical Biz Villa มีความ Flexible สูงในการปรับฟังก์ชั่นผสมผสานระหว่าง Office Working Space และ Residence มีทั้งหมด 5 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 556 ตร.ม. บนเนื้อที่ 62.7 – 86.7 ตร.วา ให้ความเป็นส่วนตัวเพียง 10 ยูนิต
สำหรับประตูทางเข้าบ้านนี้นะครับจะเป็นประตูแแบบ Automatic Sliding Gate พร้อมระบบสั่งงานเปิด-ปิด ผ่าน Application ใน Smart Phone สามารถจอดรถได้สูงสุด 6 คัน (ด้านข้าง 2 คัน และ ด้านหน้าอีก 4 คัน) ที่สำคัญมี EV Charger รองรับรถไฟฟ้ามาให้ทุกหลังอีกด้วยครับ

สามารถแบ่งประตูทางเข้าบ้านหน้าบ้านได้ 3 ทางนะครับ ได้แก่

1) ประตูกระจกบานผลักด้านหน้า (ที่สามารถจอดรถได้ 4 คัน)
2) ประตูกระจกบานเลื่อนฝั่งขวา (ที่สามารถจอดรถได้ 2 คัน)
3) ประตูกระจกบานเลื่อนฝั่งซ้าย
.
การมีกระจกรายล้อม 3 ทางแบบนี้จะช่วยในเรื่องความโปร่งโล่งและการรับแสงธรรมชาติ ทำให้บ้านกว้างขวางมากขึ้น ใช้กระเบื้องลายหินอ่อนสีเทาที่ให้ความหรูหราพร้อมกับความสุขุม และสำหรับคนที่ต้องการทำเป็น Office Working Space ก็สามารถตกแต่งโซนนี้เป็น Reception ได้เลยครับ

เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ จะพบกับบันไดที่อยู่ทางขวามือครับ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นลิฟท์ส่วนตัวระบบ Private Access Control ที่ใช้คีย์การ์ดในการควบคุมหรือขึ้น-ลงแต่ละชั้น
ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้คีย์การ์ดในการควบคุมนั้นคือเรื่องของการรักษาความเป็นส่วนตัวครับ เนื่องจากหากเจ้าของบ้านนำชั้น 1 – 3 มาทำเป็น Office Working Space และทำชั้น 4 – 5 เป็นส่วน Residence หรืออยู่อาศัยเอง การมีคีย์การ์ดคอยควบคุมลิฟท์นั้นสามารถป้องกันไม่ให้พนักงานใน Home Office ขึ้นไปชั้น 4 – 5 ได้ครับ ส่วนประตูด้านหน้านี้คือทางหนีไฟแบบมาตรฐาน และห้องด้านซ้ายคือห้องน้ำครับ
ฝั่งตรงข้ามห้องน้ำชั้นล่างจะเป็นพื้นที่กว้างขวางมีประตูกระจกรายล้อม 2 ทิศ สามารถทำเป็นมุมพักผ่อน หรือ Lobby ของ Office Working Space ก็ได้เช่นกันครับ
มากันที่ชั้น 2 กันบ้างดีกว่าครับ ที่ชั้นนี้จะใช้กระเบื้อง Nitro Granite สี Polar Black Frost กันรอยขีดข่วน พื้นที่ภายในไม่มีเสาตั้งกลางบ้านทำให้ตกแต่งภายในได้ง่าย แบ่งสัดส่วนได้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ที่ชั้น 2 ฝั่งหน้าบ้าน จะมีโซน Facade 2 โซนด้วยกัน ได้แก่ (1) โซน Facade ที่สลับกับกระจกเพื่อช่วยลดความร้อนพร้อมสร้างมิติจากแสงและเงาที่ส่องผ่านเข้าตัวบ้าน (2) โซน Facade ทึบซึ่งภายนอกจะเป็นลายหินอ่อนที่สวยงามและช่วยพลางตา รักษาความ Privacy ไม่ให้คนภายนอกหรือบ้านตรงข้ามมองมาและเห็นว่าคนในบ้านทำอะไร (แต่จะเห็นเป็นพื้นที่สีเขียวจากต้นไม้ที่ทางโครงการจัดสรรมาให้แทนครับ)
ทั้งนี้ทาง Ayutt and Associates design (AAd) สถาปนิกที่ออกแบบโครงการนี้ได้วาง Facade ของบ้าน 2 หลังที่อยู่ตรงข้ามให้มีความเหลื่อมกันเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวด้วยครับ กล่าวคือเมื่อเรามองผ่านโซน Facade ที่สลับกับกระจกของบ้านเราออกไปจะเห็นโซน Facade ทึบของบ้านฝั่งตรงข้าม ส่วนบ้านตรงข้ามมองมาก็จะเห็นแบบนี้เช่นกันครับ
นอกจากนี้ทางฝั่งซ้ายของชั้น 2 ทางโครงการยังได้ให้ระเบียงพร้อมกับต้นล่ำซำและเฟิร์นไมอามีมาให้อีกด้วย ซึ่งการออกแบบในส่วนนี้ก็ยังคงรักษาความเป็นส่วนตัวไว้อยู่ครับ เนื่องจากออกแบบให้มีความทึบแต่ยังโปร่งโล่งคล้ายกับกระบะต้นไม้ ซึ่งคนภายนอกไม่สามารถมองเห็นภายในได้ครับ โดยผนังระเบียงในส่วนนี้จะให้กระเบื้องลายหินอ่อนสีขาวที่ให้ความหรูหรา
สำหรับชั้น 3 จะใช้พื้นกระเบื้อง Nitro Granite สี Polar Black Frost ที่ป้องกันรอยขีดข่วน และมีลักษณะเหมือนกับชั้น 2 ครับ มีโซน Facade ที่สลับกับกระจก และ Facade ทึบมาให้ในตำแหน่งเดียวกัน แต่จะต่างกันตรงที่ชั้น 3 นี้จะมีระเบียงฝั่งซ้ายมือมาให้ครับ
โดยทางโครงการได้ตกแต่งบ้านตัวอย่างนี้ให้เป็น Office Working Space ครับ มีขนาดกว้างขวาง สามารถปรับแต่งโซนต่างๆ ได้ถึง 3 โซน ได้แก่ (1) Work Station (2) Relax Station (3) Meeting Zone
ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซปต์ Vertical Biz Villa ทำให้มีความ Flexible ในการปรับเปลี่ยนรูปแบบต่างๆ หรือทำเป็นโซนทำงานสำหรับ Office Working Space
นอกจากนี้ยังมีโซนที่ให้ความเป็นส่วนตัวด้วย Facade แบบทึบที่ภายนอกไม่สามารถมองเข้ามาได้ ซึ่งเราสามารถนำโซนนี้มาทำเป็น Relax Station หรือ Dining Area ก็ได้ครับ
นอกจากนี้บริเวณโซนใกล้ๆ กับบันไดยังมีพื้นที่มากพอสำหรับวางโต๊ะขนาดใหญ่ไว้ใช้เป็น Meeting Zone หรือพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ให้กับคนในทีมได้อีกด้วยครับ
นอกจากนี้ที่ชั้น 2 – 3 ฝั่งหลังบ้านยังมีพื้นที่สามารถทำเป็น Studio Room ไว้ทำงาน Production ได้สบายๆ เลยครับหรือทำเป็นห้องอเนกประสงค์ก็ได้เช่นกัน และอีกหนึ่งความพิเศษของห้องนี้คือการซ่อนคอมเพรสเซอร์แอร์ไว้ที่ระเบียงด้านนอก ซึ่งคนภายในจะมองไม่เห็นครับเพราะอยู่อีกฝากของผนังที่ฉาบขึ้นมาประมาณครึ่งตัวก่อนที่จะเป็นหน้าต่างไว้สำหรับรับแสงธรรมชาติ และนอกจากนี้ยังมีระแนงกั้นคอมเพรสเซอร์แอร์อีกด้วยครับ
ส่วนห้องน้ำจะอยู่ฝั่งตรงข้าม Studio Room ครับ และมีบันไดหนีไฟอยู่ใกล้ๆ ซึ่งโครงการนี้จะมีห้องน้ำและทางหนีไฟตั้งแต่ชั้น 1 ถึงชั้น 5 และจะอยู่ในตำแหน่ง Layout นี้เหมือนกันทุกชั้นครับ
มากันที่ทางขึ้นกันบ้างดีกว่าครับ ในส่วนของบันไดนั้นชั้น 2 – 3 จะเป็นกระเบื้อง Niro Granite สี Polar Black Frost ครับ แต่ชั้น 4 – 5 จะเป็นไม้เอนจิเนียร์ หนา 14 มม. ที่ทนทาน และทนความชื้นกว่าไม้ลามิเนตครับ
ซึ่งเมื่อเดินขึ้นมาจะมีประตู Digital Door Lock ที่ทางโครงการได้สร้างไว้ให้ที่ชั้นพักบันไดครับ สาเหตุที่ทางโครงการได้นำ Digital Door Lock มาไว้ตำแหน่งนี้ก็เพื่อที่จะรักษาความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้าของบ้านที่นำมาทำเป็น Office Working Space ครับ เพื่อที่จะได้กันคนอื่นๆ ไม่ให้ขึ้นไปในส่วนที่เป็น Residence และถ้าขึ้นผ่านลิฟท์ก็มีคีย์การ์ดที่กันไว้อีกทีหนึ่ง ซึ่งการออกแบบแบบนี้แสดงถึงความใส่ใจของโครงการที่มีต่อความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย
ที่ชั้น 4 นี้จะเหมาะกับการทำเป็นส่วน Residence หรือที่พักอาศัยอย่างยิ่งครับ จุดเด่นของชั้นนี้คือทางโครงการให้ระเบียงแบบกระบะต้นไม้มา 2 ฝั่งครับ คือฝั่งหน้าบ้านทางขวามือและฝั่งข้างบ้านทางด้านซ้าย ซึ่งพื้นบริเวณนี้ก็ได้ใช้ไม้เอนจิเนียร์สีน้ำตาลหนา 14 มม. เหมือนบันไดครับ โทนสีนี้ทำให้ห้องดูสว่าง และเมื่อแสงจากธรรมชาติเข้ามาจากทั้งระเบียงทั้ง 2 ฝั่งสาดเข้ามาก็ทำให้ห้องดูกว้างขวางและโปร่งโล่งมากขึ้น
อีกหนึ่งไฮไลท์ของชั้นนี้จะมีเรียงยื่นออกมาทางหน้าบ้านครับ และมีระแนงอลูมิเนียมที่เราสามารถเปิดเพื่อรับแสงจากธรรมชาติหรือปิดเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวก็ได้ครับ
ประตูกระจกบานเลื่อนเข้ามุมสามารถเลื่อนได้ทั้ง 2 ฝั่งเพื่อไปยืนรับลมเล่นตรงระเบียงหรือเดินไปจิบกาแฟที่กระบะต้นไม้พร้อมชมพื้นที่สีเขียว
ภายในมีขนาดกว้างขวางสามารถแบ่งสัดส่วนได้อย่างชัดเจนไม่ว่าจะเป็นระเบียงหน้าบ้าน โซนนั่งเล่น โซนรับประทานอาหาร 6 ที่นั่ง เคาน์เตอร์ทำครัว รวมถึงระเบียงข้างบ้าน
ภายในห้องมีพื้นที่กว้างขวางมากพอที่จะบิวท์อินเป็นเคาน์เตอร์ครัว พร้อมติดตั้งเตาไฟฟ้า ซิงค์ล้างจานไว้สำหรับทำอาหาร
นอกจากนี้ยังสามารถบิวท์อินเคาน์เตอร์บาร์ไว้สังสรรค์กับเพื่อนๆ ภายในบ้านได้อีกด้วย
ข้อดีของการออกแบบภายใต้คอนเซปต์ Vertical Biz Villa ที่มีความยืดหยุ่น นอกจากผสมผสาน Office Working Space กับ Residence ได้อย่างลงตัวแล้ว ยังมีส่วนผสมของแสงและเงาพร้อมกับพื้นที่สีเขียวอีกด้วย
และสำหรับใครที่ชอบทำอาหารแบบจริงจังหรือต้องการครัวไทยแล้ว ที่ชั้น 4 นี้ก็มีพื้นที่สำหรับตรงนี้ครับ ซึ่งบอกเลยว่ากว้างขวางมาก สามารถบิวท์อินเคาน์เตอร์ครัวแบบ U-Shape ได้สบายๆ นอกจากนี้ยังปูพื้นด้วยกระเบื้อง Niro Granite สี Polar Black Castle Rock ที่มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดรอย
ในส่วนของห้องน้ำนั้นจะอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องครัว ใกล้ๆ กับทางหนีไฟและลิฟท์ ตกแต่งห้องน้ำด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนเหมือนชั้นอื่นๆ ครับ
มากันที่ชั้นบนสุดกันบ้างดีกว่าครับ ความพิเศษของชั้นนี้คือจะมีพื้นที่ให้เราเป็นห้องนอนได้ 2 ห้อง และมีห้องน้ำ 2 ห้องเช่นกัน ในส่วนโซนหน้าบ้านนั้นเราสามารถทำเป็นห้องนอน Master Bedroom และวางเตียงขนาดขนาดใหญ่ได้สบายๆ และมีกระจกขนาบข้างที่เราสามารถมองเห็นต้นไม้จากบนเตียงได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ปลายเตียงกว้างมากพอที่จะบิวท์อินเป็น Walk-in Closet ส่วนตัวอีกด้วย
ห้องน้ำห้องแรกจะอยู่ถัดจาก Master Bedroom ครับ มาพร้อมหน้าต่างรับแสงจากธรรมชาติซึ่งเราสามารถหาผ้าม่านมาปิดในส่วนนี้ได้ และมีขนาดใหญ่ที่สามารถวางอ่างล่างหน้าแบบ His&Her พร้อมสุขภัณฑ์ และ Shower Box สำหรับอาบน้ำ
ส่วนห้องนอนรองนั้นจะอยู่ข้างบันไดครับ มีขนาดที่กว้างขวาง หรือใครจะดัดแปลงห้องนี้เป็นห้องทำงานส่วนตัวก็ได้เช่นกันครับ
ส่วนห้องอีกห้องนั้นจะอยู่ฝั่งตรงข้ามห้องนอนรองครับ แยกโซนเปียกออกจากโซนแห้งชัดเจนด้วย Shower Box ตกแต่งสวยงามด้วยกระเบื้องลายหินอ่อน
การันตีด้วยรางวัลนานาชาติด้านการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างโฮมออฟฟิศและที่อยู่อย่างอย่างรางวัล Architecture Multiple Residence และ Office Architecture
บทความรีวิวจาก The Seeker